บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยาง บริษัทลูกของหุ้นสุดร้อนแรงอย่าง STA กำลังจะเข้าซื้อขายใน SET วันที่ 3 ก.ค.นี้ แม้จะเป็นหุ้นผลิตถุงมือยางแต่ก็มีรายละเอียดของธุรกิจอยู่มากเนื่องจากเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และอันดับต้นๆ ของโลก
ดังนั้น สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย จึงได้สรุปข้อมูลที่สำคัญจากแบบไฟลิ่ง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของนักลงทุน
1.ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยาง รายใหญ่ที่สุดในไทย
ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2532 เดิมชื่อ สยามเซมเพอร์เมด ก่อนจะถูกซื้อกิจการและเปลี่ยนชื่อในปี 60 โดย บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) ทำให้ปัจจุบันมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของ STA ปัจจุบันเป็นผู้นำธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางที่ใช้ในทางการแพทย์เป็นหลัก และสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมอื่น โดยใช้วัตถุดิบน้ำยางจากกลุ่ม STA ภายใต้ตราสินค้า ดังนี้ ศรีตรังโกลฟ์, SRI TRANG GLOVES, ซาโตรี่, I'M GLOVE, ฟิน, Super Care, S-Gloves, WELLGUARD, Super Gard, SRITECH, Shi-Rui-Kang และ Ventyv
ปัจจุบันมีบริษัทย่อยสัดส่วนถือหุ้น 100% จำนวน 2 แห่งได้แก่ 1)Shi Dong Shanghai Medical Equipment Co., Ltd. (SDME) จัดตั้งในสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อดำเนินธุรกิจจำหน่ายถุงมือยางในสาธารณรัฐประชาชนจีน และ 2)Sri Trang USA, Inc.(STU) จัดตั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อดำเนินธุรกิจจำหน่ายถุงมือยางในประเทศสหรัฐอเมริกา
STGT มีปริมาณการขาย ณ สิ้นปี 62 ทั้งหมดอยู่ที่ 19,891.89 ล้านชิ้น แบ่งเป็น ถุงมือยางธรรมชาติชนิดมีแป้ง 34.9% ถุงมือยางธรรมชาติชนิดไม่มีแป้ง 26.2% และถุงมือยางไนไตรล์ 37%
ณ สิ้นปี 62 บริษัทมีโรงงานทั้งหมด 3 แห่ง กำลังผลิตติดตั้งรวมกัน 27,153 ล้านชิ้นต่อปี นับเป็นผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และอันดับต้นๆ ของโลก โดยมีที่ตั้งโรงงาน และกำลังการผลิตแต่ละโรงงาน ดังนี้

ปัจจุบัน STGT เป็นผู้ผลิตที่มีกำลังผลิตเป็นอันดับที่ 3 ของโลก โดย 5 อันดับแรกของโลกมีชื่อบริษัท และกำลังผลิตดังนี้ 1. Top Glove กำลังผลิต 73,400 ล้านชิ้นต่อปี 2.Hartalega กำลังผลิต 36,600 ล้านชิ้นต่อปี 3.STGT กำลังผลิต 32,619 ล้านชิ้นต่อปี 4.Kossan กำลัง 28,000 ล้านชิ้นต่อปี 5.Supermax 24,000 ล้านชิ้นต่อปี
2.เคาะราคาไอพีโอ 34 บ. คิดเป็น P/E 54 เท่า เทียบอุตสาหกรรมเดียวกันที่ 67.01 เท่า
STGT เคาะราคาเสนอขาย IPO ที่ 34 บาท กำหนดราคาเสนอขายผ่านการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Bookbuilding) โดยราคา IPO คิดเป็นอัตราส่วนกำไรต่อหุ้น(P/E) อยู่ที่ 54 เท่า หากพิจารณากำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในช่วงไตรมาส 1/62 - 1/63 เท่ากับ 899.59 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญหลังการเสนอขายหลักทรัพย์ทั้งหมดจำนวน 1,428.78 ล้านหุ้น (ไม่รวมส่วนของ STGT ESOP จำนวน 6 ล้านหุ้น) ได้กำไรสุทธิต่อหุ้นที่ 0.63 บาท/หุ้น
ทั้งนี้หากรวมหุ้นจากส่วนของ STGT ESOP ที่จะเสนอขายในปีที่ 1 และ 2 หลังจากขาย IPO เข้ามาจะได้ P/E ที่ 54.23 เท่า
ซึ่งการประเมิน P/E บริษัทได้เปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมที่ดำเนินธุรกิจใกล้เคียงกัน และเป็นผู้นำตลาดหรือมีส่วนแบ่งตลาดในอันดับต้นๆ ของโลก 4 ราย โดยอิงข้อมูลจาก Bloomberg ณ วันที่ 17 มิ.ย.63 ได้ P/E เฉลี่ยที่ 67.01 เท่าดังนี้
บริษัท |
ตลาดรองที่จดทะเบียน |
P/E(เท่า) |
Hartalega Holdings Berhad(HART MK) |
Stock Exchange of Malaysia |
92.34 |
Kossan Rubber Industries Berhad(KRI MK) |
Stock Exchange of Malaysia |
46.56 |
Supermax Corporation Berhad(SUCB MK) |
Stock Exchange of Malaysia |
67.23 |
Top Glove Corporation Berhad(TOPG MK) |
Stock Exchange of Malaysia |
61.88 |
เฉลี่ย |
67.01 |
STGT ขายหุ้นไอพีโอ : ทั้งหมดไม่เกิน 444,780,000 หุ้น คิดเป็น 30.1 % ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
มีจำนวนหุ้นหลังเสนอขายไอพีโอที่อยู่ที่ : 1,434,780,000 หุ้น
เข้าจดทะเบียนด้วยวิธี : เกณฑ์กำไรสุทธิ (Profit Test)
มูลค่าที่ตราไว้(พาร์) : 1 บาท/หุ้น
มูลค่าทางบัญชี : 4.45 บาท/หุ้น (คำนวณ ณ วันที่ 31 ธ.ค.62)
เข้าซื้อขายใน : ตลาดหลักทรัพย์(SET) วันที่ 2 ก.ค. 63
หมวดธุรกิจ : ของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์
ที่ปรึกษาทางการเงิน : บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด
ผู้ร่วมจัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย : บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
อันเดอร์ไรท์ : บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) / บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) / บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) / บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) / บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) / บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด / บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) / บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด
3.มีโครงการ ESOP พร้อมการขาย IPO
บริษัทจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 10,000,000 หุ้น เพื่อเสนอขายให้กับกรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยของบริษัทฯ ตามโครงการ "STGT ESOP" โดยจะเสนอขายครั้งแรก ณ วัน IPO จำนวนไม่เกิน 4,000,000 หุ้น และส่วนที่เหลือ 6,000,000 หุ้น จะเสนอขายในปีที่ 1 - 2 ภายหลังการ IPO
สัดส่วนการเสนอขายหุ้นเป็นดังนี้

4.หลัง IPO กลุ่ม STA ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
หลังจากการจำหน่ายหุ้น IPO แล้ว STA ยังคงสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่อันดับแรก ที่จำนวน 725,037,300 หุ้น หรือ 50.7% โดยสัดส่วนการถือหุ้นหลังจากการการจำหน่ายหุ้น IPO บนสมมติฐานว่ามีผู้ใช้สิทธิ STGT ESOP ทั้งจำนวน 4,000,000 หุ้น เป็นดังนี้

หากคำนวณสัดส่วนการถือหุ้นจากจำนวนหุ้นสามัญที่ออกใหม่ที่จัดสรรและเสนอขายให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือ พนักงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยของบริษัทฯ ภายใต้โครงการ STGT ESOP ทั้งโครงการจำนวน 10,000,000 หุ้น บนสมมติฐานว่าจองซื้อหุ้นสามัญที่ออกใหม่ภายใต้โครงการ STGT ESOP ทั้งโครงการทั้งจำนวน สัดส่วนผู้ถือหุ้นจะเป็นดังนี้

5.รายได้ทรงตัว ส่วนกำไรสุทธิผันผวน
รายได้และกำไรสุทธิของ STGT ในปี 60 - 62 เป็นดังนี้
ปี |
60 |
61 |
62 |
รายได้(ลบ.) |
11,246 |
10,988 |
11,994 |
กำไรสุทธิ(ลบ.) |
214 |
981 |
614 |
อัตรากำไรสุทธิ(%) |
1.9 |
8.9 |
5.1 |
สาเหตุที่ทำให้กำไรสุทธิปี 61 เติบโตก้าวกระโดดถึง 357% มาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรขั้นต้น และการลดลงของค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เกี่ยวข้องกับการแยกกิจการระหว่าง STA กับ Semperit นอกจากนี้ยังเป็นการเติบโตจากฐานต่ำเพราะในปี 60 มีค่าใช้จ่ายเพื่อระงับข้อพิพาทจากการแยกกิจการระหว่าง STA กับ Semperit
ขณะที่ปี 62 กำไรสุทธิลดลงมีสาเหตุมาจาก การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการบริหาร และค่าใช้จ่ายทางการเงินจาก 1.การรับโอนพนักงานการตลาดจากกลุ่ม STA 2.การรวมงบการเงินของ TK เข้ามาซึ่งเป็นผลจากการควบรวมบริษัท 3.ค่าใช้จ่ายในการขนส่งตามยอดขายเพิ่มขึ้น 4.ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น
6.D/E สิ้นปี 62 อยู่ที่ 2 เท่า หนี้ส่วนใหญ่มาจากสถาบันการเงิน
STGT มีระดับ D/E ณ สิ้นปี 62 อยู่ที่ 2 เท่า ซึ่งหนี้สินส่วนใหญ่มากจากการกู้ยืมสถาบันการเงินเพื่อนำมาขยายโรงงานและปรับปรุงสายการผลิต และเจ้าหนี้การค้าเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตถุงมือยาง
งบแสดงฐานะการเงิน STGT ณ สิ้นปี 62 ดังนี้
สินทรัพย์รวม : 13,216 ลบ.
หนี้สินรวม : 8,814 ลบ.
ส่วนของผู้ถือหุ้น : 4,402 ลบ.
อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น (D/E) : 2 เท่า
อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) : 5.1%
อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) : 15%
7.เตรียมนำเงินระดมทุนไปใช้ขยายกำลังผลิต
STGT มีวัตถุประสงค์นำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในครั้งนี้ จำนวน 14,595.38 ล้านบาท หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในการออกและเสนอขายหลักทรัพย์ในครั้งนี้ เพื่อวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

8.สัดส่วนหุ้นของ “ผู้มีส่วนร่วมในการบริหาร” ที่ไม่ติด Silent Period อยู่ที่ 99.9 ล้านหุ้น หรือ 7% ของหุ้นทั้งหมด
สัดส่วนหุ้นของ “ผู้มีส่วนร่วมในการบริหาร” ที่ไม่ติด Silent Period จำนวน 99,927,200 หุ้น คิดเป็น 7 % ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ (ไม่รวมส่วนของหุ้นตามโครงการ STGT ESOP จำนวน 6,000,000 หุ้น)
9.มีนโยบายปันผลไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิ
STGT มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 30% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการ หลังจากการหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และการจัดสรรทุนสำรองต่างๆ
0 Response to "9 เรื่องน่ารู้ STGT ผู้ผลิตและจำหน่ายถุงมือยาง ที่ร้อนแรงที่สุดในขณะนี - efinanceThai"
Post a Comment